วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สมุนไพรให้สีแต่งอาหาร

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Nyctanthes arbor-tristis  L.
ชื่อสามัญ  Night blooming jasmine
วงศ์  OLEACEAE
ชื่ออื่น :  กณิการ์ , กรณิการ์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร กิ่งเป็นสี่เหลี่ยม มีขนสาก ใบ
ส่วนที่ใช้
ต้น ใบ ดอก ราก ก้านดอก
เดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 3.5-10 ซม. ปลายแหลมหรือยื่นเป็นติ่งแหลม โคนมน ขอบเรียบหรือจักแหลมใกล้ๆ โคนใบ แผ่นใบหนาสากมือ มีขนแข็งตามแผ่นใบและเส้นใบ ตามขอบใบอาจมีขนแข็งๆ เส้นแขนงใบข้างละ 3-4 เส้น ปลายเส้นจรดกันก่อนถึงขอบใบ ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาว 1.2-2 ซม. มีใบประดับรูปคล้ายใบเล็กๆ 1 คู่ที่ก้านช่อดอก แต่ละช่อมี 3-7 ดอก กลิ่นหอม บานตอนเย็นและจะร่วงในเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่มีก้านดอก แต่ละดอกมีใบประดับ 1 ใบ ดอกตูมมีกลีบดอกเรียงซ้อนกันและบิดเป็นเกลียว กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน ติดกันเป็นหลอดรูปกรวยปลายตัดหรือหยักตื้นๆ 5 หยัก ด้านนอกมีขน ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอดสีแสด ยาว 1.1-1.3 ซม. ด้านนอกเกลี้ยง ด้านในมีขนยาวๆ สีขาวที่โคนหลอด ปลายหลอดแยกเป็นกลีบสีขาว 5-8 กลีบ แต่ละกลีบยาว 0.9-1.1 ซม. โคนกลีบแคบ ปลายกลีบกว้างและเว้าลึก เกสรเพศผู้ 2 อัน ติดอยู่ภายในหลอดกลีบดอกตรงบริเวณปากหันด้านหน้าเข้าหากัน ก้านชูอับเรณูเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกับหลอดดอก รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ กลม มี 2 ช่อง มีออวุลช่องละ 1 เม็ด ก้านเกสรเพศเมียมีอันเดียว ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่มมีขน ผลรูปไข่หรือกลม ค่อนข้างแบน ปลายมีติ่งสั้นๆ
สรรพคุณ :
  • ต้น - รับประทานแก้ปวดศีรษะ
  • ใบ -  บำรุงน้ำดี
  • ดอก - แก้ไข้ และแก้ลมวิงเวียน
  • ราก - แก้อุจจาระเป็นพรรดึก บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ลม แก้ผมหงอกบำรุงผิวหนังให้สดชื่น
  • ก้านดอกสีแดงแสด (สีส้ม) - คั้นเอาน้ำไปทำสีขนมหรือสีย้อมผ้าได้ดี
วิธีและปริมาณที่ใช้ - ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำ เติมน้ำคั้นเองาแต่น้ำ 1 ถ้วยแก้ว แบ่งรับประทาน 4 ครั้ง เป็นยาขม เจริญอาหาร
สารเคมี - กลุ่ม
Carotenoid

พืชสมุนไพร

พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ  และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
          ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด

         ภาครัฐเริ่มกลับมาเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยอีกครั้งด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 ว่า  " ให้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเข้ากับระบบบริการสาธารณสุขของชุมชนอย่างเหมาะสม"
          บทความข้าต้นเป็นส่วนหนึ่งในคำนำของหนังสือ "สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด" ซึ่งเภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา เภสัชกรด้านเภสัชสาธารณสุข  หัวหน้าฝ่ายวิชาการ กองเภสัชกรรม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้รวบรวมและเรียบเรียง ได้บันทึกไว้ ซึ่งต่อมาทางสำนักอนามัยฯ ได้นำหนังสือดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประโยชน์ในงานของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ  การนี้ ทางโครงการฯ เห็นว่าเนื้อหาในหนังสือมีคุณค่าและให้ประโยชน์กับผู้ที่ร่วมงานกับโครงการฯ รวมถึงบุคคลทั่วไป จึงได้นำขึ้นเผยแพร่ในเวบไซต์โครงการฯ
          จึงหวังว่าผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลและได้อ่านเรื่องต่างๆ ในเวบไซต์นี้คงได้รับความรู้และอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองหรือบุคคลรอบข้างได้ไม่มากก็น้อย..

สมุนไพรไทยโกอินเตอร์


พลูคาว จากล้านนา..โกอินเตอร์ฯพืชสมุนไพรที่น่าจับตา กับความหวังผู้ป่วยมะเร็ง

“พลูคาว” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb เป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย และยังพบในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย เรื่อยมาจนถึงจีน เวียดนาม ลาว เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็น โดยจะมีลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของพลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม ชาวบ้านในเขต ภาคเหนือจะเรียกว่า “ผักคาวตอง” เนื่องจากต้นและใบจะมีกลิ่นคาวรุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นผักเคียงใช้บริโภคสดกับอาหารประเภทลาบหรือหลู้ ส่วนจีนจะใช้พลูคาวในตำรับยาหลักนับเป็นสมุนไพรชั้นสูง

จากข้อสังเกตว่า จำนวนประชากรในภาคเหนือเป็น “โรคมะเร็ง” ค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริโภคพลูคาวเป็นประจำ และหมอแผนโบราณเคยใช้พลูคาวมารักษาผู้ป่วยริดสีดวงทวาร ทำให้หายเจ็บปวดโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ทำให้คณะนักวิจัยซึ่ง ประกอบด้วย รศ.มณเฑียร เปสี, ศ.น.พ.พงษ์ศิริ ปรารถนาดี, รศ.น.พ.สุขชาติ เกิดผล, ผศ.ดร.วิจิตร เกิดผล และผศ. ดุษฎี มุสิกโปดก คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้พลูคาวรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

เบื้องต้นคณะนักวิจัยได้นำพลูคาวจากแปลงเกษตรอินทรีย์ที่สวนดอยหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกพลูคาวตามระบบเกษตรอินทรีย์กว่า 30 ไร่ มาวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโน โลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น

ขณะเดียวกันคณะนักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี

หลังจากที่สกัดเป็นยาน้ำ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมแล้ว ได้นำยามาทดลองในผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิด คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ Soft tissue sarcoma โดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว

ในปี 2548 นี้ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปทดลองตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรปหรืออียูและสิงคโปร์พบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยค่อนข้างมาก มีมูลค่าการส่งออกรวมกว่าประมาณ 25 ล้านบาท แบ่งเป็น อียู 15 ล้านบาท สิงคโปร์ประมาณ 10 ล้านบาท สำหรับปี 2549 นี้ ได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าส่งออกไว้ ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกหลัก คือ กลุ่มอียู และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม หากใช้รักษาควบคู่กับการฉายรังสีซึ่งเป็นวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากยิ่งขึ้น

จากประสิทธิภาพของพลูคาวที่ผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศเริ่มยอมรับ และเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ขณะนี้มีคณะแพทย์และเภสัชกรจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มหันมาสนใจที่จะศึกษาวิจัยสมุนไพรพลูคาวเพิ่มเติม รวมกว่า 10 โครงการวิจัย เพื่อเป็นความหวังและต่ออายุให้กับผู้ป่วยมะเร็งในอนาคต

หากงานวิจัยประสบผลสำเร็จ “พลูคาว” จะกลายเป็นพืชสมุนไพรสร้างชาติได้ในพริบตา ซึ่งเป็นพืชที่น่าจับตามองอีกพืชหนึ่ง

ใบย่านาง

สมุนไพรสำหรับเด็ก


  1. หัวโนและแผลเป็นที่ศรีษะไข้ตัวร้อนเป็นหวัด คัดจมูกหัดเลือดกำเดาไหลหอบหืดโดยทั่วไปมักจะรีบไปหายาหม่องมาทาถูทาถู โดยเข้าใจว่าจะช่วยให้อาการหัวโนยุบลงได้ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยาหม่องเมื่อทาแล้วจะร้อนทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นขยายตัว มีผลให้เกิดอาการบวมแดงและอักเสบมากขึ้นให้เอาดินสอพองหรือแป้งสำหรับทาตัวเด็กผสมกับน้ำมะนาวให้พอแหลก พอกตรงบริเวณ ที่โน ปล่อยทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงจึงเปลี่ยนยา ถ้ารีบทำตอนที่หัวโนใหม่ ๆ จะเห็นผลชัดมาก
    สำหรับเด็กคนใดที่เป็นแผลเป็นที่ศีรษะแล้วผมไม่ขึ้น ลองใช้ดอกอัญชัญสดขยี้ทาบริเวณแผลเป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น หรืออีกขนานหนึ่งใช้หัวสิงสด หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ทาถูบริเวณที่เป็นแผลเป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ประมาณ 7 – 10 วันผมจะเริ่มขึ้น
  2. การให้ยาลดไข้เด็กเล็กบ่อย ๆ เป็นเรื่องที่ควรระวัง เพราะเด็กเล็ก(2เดือน)อวัยวะพวกตับ ไต ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี อาจเกิดการคั่งของยาเป็นพิษต่อตับได้ สมุนไพรที่ช่วยลดไข้เด็กเล็กๆ คือ ฟักเขียว ใช้ไส้ฟักเขียวเอาเมล็ดออกพอกที่หน้าผากหรือบริเวณที่ร้อนจัด ถ้าเป็นเด็กที่กินนมผสม ให้ใช้ฟักเขียวส่วนที่ติดกับขั้วมีก้านด้วยนิดหน่อย ยาวประมาณ 3 นิ้วฟุต ปอกเปลือกต้มน้ำจนฟักสุก เอาน้ำต้มฟักมาชงนมให้เด็กกิน
    อีกขนานหนึ่ง ให้เด็ดเอายอดอ่อนของต้นพุทราประมาณ 1 กำมือใส่ในถ้วย ให้ใช้ใบอ่อนหรือยอดจึงจะมีฟอง เอายอดอ่อนนี้มาขยี้พอแหลกผสมน้ำสะอาดพอสมควร นำน้ำที่ได้มาชโลมให้ทั่วศรีษะและตามลำตัว ถ้าความร้อนยังไม่ทุเลาให้ทำซ้ำอีก แต่ต้องคอยให้น้ำยาที่ชโลมครั้งแรกแห้งเสียก่อน ทำซ้ำ 2 – 3 ครั้ง อาการตัวร้อนจะค่อยเย็นลงจนหายเป็นปกติดี
  3. ต้มน้ำให้เดือดในหม้อขนาดกลาง เอาหัวหอมเล็ก 1 กำมือ โขลกพอแหลกใส่ลงไป ปิดฝาหม้อต้มให้เดือดต่อไปอีก 5 นาที ยกหม้อลงเอาผ้าคลุมหัวและหม้อเอาไว้ ค่อย ๆ ปิดฝาหม้อ สูดเอาไอน้ำ จนกระทั่งหมดไอ ควรหลับตาขณะสูดไอน้ำเพราะถ้าไอน้ำเข้าตาจะทำให้แสบตา ไอน้ำและไอหัวหอมเล็ก ช่วยให้น้ำมูกหายข้น เป็นเหตุให้จมูกโล่ง ในช่วงที่เด็กนอนหลับ ให้เอาหัวหอมเล็กทุบพอแตก ห่อผ้าบาง ๆ เพียงชั้นเดียววางไว้ตามจุดต่าง ๆ ตรงหัวนอน เพื่อให้ไอระเหยของหัวหอมเข้าจมูก อย่าวางหัวหอมใกล้จมูกเด็กเกินไป จะทำให้แสบจมูกได้
  4. สำหรับสมุนไพรที่ชาวบ้านนิยมใช้รักษาหัดคือ สะตือ หรือประดู่ขาว ใช้ทั้งต้นทั้งราก อย่างละ 1 กำมือ ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มให้เดือดนาน 5 – 10 นาที กินครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และเอาน้ำอาบด้วย เขาบอกว่ายาขนานนี้ป้องกันหัดหลบลงลำใส้ที่ทำให้ท้องเดิน และป้องกันหัดหลบลงปอดทำให้หอบได้
    สมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ ใบมะพร้าวอ่อนหรือแก่ก็ได้ มัดให้ได้ 1 กำ ทุบให้แตก นำมาแช่กับน้ำธรรมดา ใส่น้ำพอท่วมยา ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ให้น้ำออกเป็นสีเหลืองแล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าเด็กอายุ 7 – 8 ขวบกินครั้งละ 1 ถ้วยชา ยาจะกระทุ้งตุ่มออกหมด กินยาไป 3 วันจะเห็นว่าตุ่มยุบจนหายหมด เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีมาก
    อีกขนานหนึ่งคือใช้ผงชะเอมเทศผสมน้ำผึ้ง ป้ายลิ้นให้เด็กกินทีละน้อย แต่ให้กินบ่อย ๆ หรืออาจลองใช้ใบสะเดาที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไปสัก 5 ใบ เมล็ดยี่หร่าครึ่งช้อนชาชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ให้เด็กดื่มตอนอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
  5. ใช้ใบพลู 1 ใบ มาม้วนเหมือนบุหรี่ ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้ช้ำ อุดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหลให้แน่น เวลาอุดยาจะรู้สึกร้อน ๆ ฉุน สักครู่เดียวเลือดก็หยุดไหล ใบพลูช่วยได้เพราะมีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้เส้นเลือดหดตัวช่วยห้ามเลือดได้ และการใช้ใบพลูอุดแผลก็ทำให้เลือดที่ปากแผลแข็งตัวหยุดไหลไปเอง
    สมุนไพรที่ใช้แก้เลือดกำเดาไหลที่ได้ผลดีมีอีกหลายชนิดได้แก่ หัวหอม หญ้าแพรก ดอกทับทิมที่ยังอ่อน ๆ เปลือกเม็ดมะม่วง โดยสมุนไพรเหล่านี้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตำแล้วคั้นเอาน้ำมาหยดใส่รูจมูกสัก 2 – 3 หยด จะช่วยให้เลือดหยุดได้
    สำหรับเด็กที่เลือดกำเดาไหลบ่อย ขอแนะนำให้เอารากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาดใส่น้ำให้ท่วมยาต้มพอให้ยาสุก กินวันละ 3 – 4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรให้เด็กกินฝรั่งสุกด้วยเพื่อเพิ่มวิตามินซี นอกจากนี้ควรให้ลูกรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม สับปะรด เป็นประจำ อาจทำให้ลูกมีเลือดกำเดาออกน้อยลงหรือหายไปได้ 
  6. สมุนไพรรักษาอาหารหอบหืดที่น่าสนใจคือ หนุมานประสานกาย เพราะมีผู้ที่เคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว โดยเล่าให้ฟังว่า ตอนบุตรชายอายุได้ 5 ปี เริ่มเป็นหืด มีเสมหะติดคอบ่อย ๆ บางครั้งหอบจนต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องกินยาขับเสมหะและขยายหลอดลมเป็นประจำ ได้ใช้ใบหนุมานประสานกาย 7 ช่อ ใส่น้ำ 2 ถ้วยต้มให้เหลือ 1 ถ้วย กินครั้งละ ? ถ้วย วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ก่อนอาหาร 15 นาที ประมาณ 2 เดือน อาการหอบหืดของบุตรชายหายไป ไม่ต้องกินยาอะไรอีกเลย ทุกวันนี้เวลาบุตรชายเริ่มมีอาการหวัดก็ต้มยาให้กินอาการหวัดก็หายไป ไม่ต้องพึ่งยาฝรั่งอีกเลย
    มียาตำรับง่าย ๆ แต่ใช้ได้ผลดีอีกตำรับหนึ่งคือ ใช้หัวหอมแดง ตำคั้นเอาน้ำ 2 ช้อนชา ผสมกับเหง้าขิงแก่ สดตำคั้นเอาแต่น้ำ 2 ช้อนชา น้ำมะนาวและน้ำคั้นจากกระเทียม อย่างละ ? – 1 ช้อนชา เติมน้ำผึ้งพอหวาน ดื่มวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า – เย็น
    เด็กเล็กบางคนอาจไม่ชอบกลิ่นกระเทียมก็ไม่ต้องผสมน้ำกระเทียมก็ได้

ผักรสขม เพื่อสุขภาพ

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพอีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกันเลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้ออาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ


4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจนลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย

สมุนไพรเพื่อผู้หญิง

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีสมุนไพรแก้ปวดประจำเดือนมาฝากกันค่ะ ซึ่ง สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้เป็นสมุนไพรใกล้ตัวสาวๆ อย่างที่เราไม่ควรพลาดเลยนะค่ะ อาการปวดท้องประจำเดือนคืออีกหนึ่งปัญหาที่สุดแสนจะทรมานสำหรับสาวๆ จำนวนมากเลยทีเดียวนะค่ะ ถ้าใครที่เคยมีอาการปวดท้องประจำเดือนจะรู้ทันทีเลยว่าอาการเหล่านี้มันทรมานขนาดไหน แล้วทุกๆ เดือนของสาวๆ อย่างเราๆ จะต้องมาทนทรมานกับการปวดท้องคงจะไม่ไหวแน่ๆ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยนำเอา สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน มาแนะนำให้คุณสาวๆ ได้รู้กันค่ะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน เป็นสมุนไพรที่ไม่เป็นอันตรายและแถมยังไม่แพงมากมายและหาซึ่งได้ง่ายๆ เพราะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นั้นมีใกล้ตัวเราอีกด้วยนะค่ะ รับรองว่า สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของคุณสาวๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่าร้อช้ารีบๆ ไปรู้จัก สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่านะค่ะ
3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้