วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สมุนไพรให้สีแต่งอาหาร

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Nyctanthes arbor-tristis  L.
ชื่อสามัญ  Night blooming jasmine
วงศ์  OLEACEAE
ชื่ออื่น :  กณิการ์ , กรณิการ์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร กิ่งเป็นสี่เหลี่ยม มีขนสาก ใบ
ส่วนที่ใช้
ต้น ใบ ดอก ราก ก้านดอก
เดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 3.5-10 ซม. ปลายแหลมหรือยื่นเป็นติ่งแหลม โคนมน ขอบเรียบหรือจักแหลมใกล้ๆ โคนใบ แผ่นใบหนาสากมือ มีขนแข็งตามแผ่นใบและเส้นใบ ตามขอบใบอาจมีขนแข็งๆ เส้นแขนงใบข้างละ 3-4 เส้น ปลายเส้นจรดกันก่อนถึงขอบใบ ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาว 1.2-2 ซม. มีใบประดับรูปคล้ายใบเล็กๆ 1 คู่ที่ก้านช่อดอก แต่ละช่อมี 3-7 ดอก กลิ่นหอม บานตอนเย็นและจะร่วงในเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่มีก้านดอก แต่ละดอกมีใบประดับ 1 ใบ ดอกตูมมีกลีบดอกเรียงซ้อนกันและบิดเป็นเกลียว กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน ติดกันเป็นหลอดรูปกรวยปลายตัดหรือหยักตื้นๆ 5 หยัก ด้านนอกมีขน ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอดสีแสด ยาว 1.1-1.3 ซม. ด้านนอกเกลี้ยง ด้านในมีขนยาวๆ สีขาวที่โคนหลอด ปลายหลอดแยกเป็นกลีบสีขาว 5-8 กลีบ แต่ละกลีบยาว 0.9-1.1 ซม. โคนกลีบแคบ ปลายกลีบกว้างและเว้าลึก เกสรเพศผู้ 2 อัน ติดอยู่ภายในหลอดกลีบดอกตรงบริเวณปากหันด้านหน้าเข้าหากัน ก้านชูอับเรณูเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกับหลอดดอก รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ กลม มี 2 ช่อง มีออวุลช่องละ 1 เม็ด ก้านเกสรเพศเมียมีอันเดียว ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่มมีขน ผลรูปไข่หรือกลม ค่อนข้างแบน ปลายมีติ่งสั้นๆ
สรรพคุณ :
  • ต้น - รับประทานแก้ปวดศีรษะ
  • ใบ -  บำรุงน้ำดี
  • ดอก - แก้ไข้ และแก้ลมวิงเวียน
  • ราก - แก้อุจจาระเป็นพรรดึก บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ลม แก้ผมหงอกบำรุงผิวหนังให้สดชื่น
  • ก้านดอกสีแดงแสด (สีส้ม) - คั้นเอาน้ำไปทำสีขนมหรือสีย้อมผ้าได้ดี
วิธีและปริมาณที่ใช้ - ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำ เติมน้ำคั้นเองาแต่น้ำ 1 ถ้วยแก้ว แบ่งรับประทาน 4 ครั้ง เป็นยาขม เจริญอาหาร
สารเคมี - กลุ่ม
Carotenoid

พืชสมุนไพร

พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ  และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
          ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด

         ภาครัฐเริ่มกลับมาเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยอีกครั้งด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 ว่า  " ให้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเข้ากับระบบบริการสาธารณสุขของชุมชนอย่างเหมาะสม"
          บทความข้าต้นเป็นส่วนหนึ่งในคำนำของหนังสือ "สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด" ซึ่งเภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา เภสัชกรด้านเภสัชสาธารณสุข  หัวหน้าฝ่ายวิชาการ กองเภสัชกรรม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้รวบรวมและเรียบเรียง ได้บันทึกไว้ ซึ่งต่อมาทางสำนักอนามัยฯ ได้นำหนังสือดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประโยชน์ในงานของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ  การนี้ ทางโครงการฯ เห็นว่าเนื้อหาในหนังสือมีคุณค่าและให้ประโยชน์กับผู้ที่ร่วมงานกับโครงการฯ รวมถึงบุคคลทั่วไป จึงได้นำขึ้นเผยแพร่ในเวบไซต์โครงการฯ
          จึงหวังว่าผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลและได้อ่านเรื่องต่างๆ ในเวบไซต์นี้คงได้รับความรู้และอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองหรือบุคคลรอบข้างได้ไม่มากก็น้อย..

สมุนไพรไทยโกอินเตอร์


พลูคาว จากล้านนา..โกอินเตอร์ฯพืชสมุนไพรที่น่าจับตา กับความหวังผู้ป่วยมะเร็ง

“พลูคาว” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb เป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย และยังพบในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย เรื่อยมาจนถึงจีน เวียดนาม ลาว เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็น โดยจะมีลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของพลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม ชาวบ้านในเขต ภาคเหนือจะเรียกว่า “ผักคาวตอง” เนื่องจากต้นและใบจะมีกลิ่นคาวรุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นผักเคียงใช้บริโภคสดกับอาหารประเภทลาบหรือหลู้ ส่วนจีนจะใช้พลูคาวในตำรับยาหลักนับเป็นสมุนไพรชั้นสูง

จากข้อสังเกตว่า จำนวนประชากรในภาคเหนือเป็น “โรคมะเร็ง” ค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริโภคพลูคาวเป็นประจำ และหมอแผนโบราณเคยใช้พลูคาวมารักษาผู้ป่วยริดสีดวงทวาร ทำให้หายเจ็บปวดโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ทำให้คณะนักวิจัยซึ่ง ประกอบด้วย รศ.มณเฑียร เปสี, ศ.น.พ.พงษ์ศิริ ปรารถนาดี, รศ.น.พ.สุขชาติ เกิดผล, ผศ.ดร.วิจิตร เกิดผล และผศ. ดุษฎี มุสิกโปดก คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้พลูคาวรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

เบื้องต้นคณะนักวิจัยได้นำพลูคาวจากแปลงเกษตรอินทรีย์ที่สวนดอยหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกพลูคาวตามระบบเกษตรอินทรีย์กว่า 30 ไร่ มาวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโน โลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น

ขณะเดียวกันคณะนักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี

หลังจากที่สกัดเป็นยาน้ำ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมแล้ว ได้นำยามาทดลองในผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิด คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ Soft tissue sarcoma โดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว

ในปี 2548 นี้ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปทดลองตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรปหรืออียูและสิงคโปร์พบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยค่อนข้างมาก มีมูลค่าการส่งออกรวมกว่าประมาณ 25 ล้านบาท แบ่งเป็น อียู 15 ล้านบาท สิงคโปร์ประมาณ 10 ล้านบาท สำหรับปี 2549 นี้ ได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าส่งออกไว้ ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกหลัก คือ กลุ่มอียู และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม หากใช้รักษาควบคู่กับการฉายรังสีซึ่งเป็นวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากยิ่งขึ้น

จากประสิทธิภาพของพลูคาวที่ผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศเริ่มยอมรับ และเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ขณะนี้มีคณะแพทย์และเภสัชกรจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มหันมาสนใจที่จะศึกษาวิจัยสมุนไพรพลูคาวเพิ่มเติม รวมกว่า 10 โครงการวิจัย เพื่อเป็นความหวังและต่ออายุให้กับผู้ป่วยมะเร็งในอนาคต

หากงานวิจัยประสบผลสำเร็จ “พลูคาว” จะกลายเป็นพืชสมุนไพรสร้างชาติได้ในพริบตา ซึ่งเป็นพืชที่น่าจับตามองอีกพืชหนึ่ง

ใบย่านาง

สมุนไพรสำหรับเด็ก


  1. หัวโนและแผลเป็นที่ศรีษะไข้ตัวร้อนเป็นหวัด คัดจมูกหัดเลือดกำเดาไหลหอบหืดโดยทั่วไปมักจะรีบไปหายาหม่องมาทาถูทาถู โดยเข้าใจว่าจะช่วยให้อาการหัวโนยุบลงได้ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยาหม่องเมื่อทาแล้วจะร้อนทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นขยายตัว มีผลให้เกิดอาการบวมแดงและอักเสบมากขึ้นให้เอาดินสอพองหรือแป้งสำหรับทาตัวเด็กผสมกับน้ำมะนาวให้พอแหลก พอกตรงบริเวณ ที่โน ปล่อยทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงจึงเปลี่ยนยา ถ้ารีบทำตอนที่หัวโนใหม่ ๆ จะเห็นผลชัดมาก
    สำหรับเด็กคนใดที่เป็นแผลเป็นที่ศีรษะแล้วผมไม่ขึ้น ลองใช้ดอกอัญชัญสดขยี้ทาบริเวณแผลเป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น หรืออีกขนานหนึ่งใช้หัวสิงสด หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ทาถูบริเวณที่เป็นแผลเป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ประมาณ 7 – 10 วันผมจะเริ่มขึ้น
  2. การให้ยาลดไข้เด็กเล็กบ่อย ๆ เป็นเรื่องที่ควรระวัง เพราะเด็กเล็ก(2เดือน)อวัยวะพวกตับ ไต ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี อาจเกิดการคั่งของยาเป็นพิษต่อตับได้ สมุนไพรที่ช่วยลดไข้เด็กเล็กๆ คือ ฟักเขียว ใช้ไส้ฟักเขียวเอาเมล็ดออกพอกที่หน้าผากหรือบริเวณที่ร้อนจัด ถ้าเป็นเด็กที่กินนมผสม ให้ใช้ฟักเขียวส่วนที่ติดกับขั้วมีก้านด้วยนิดหน่อย ยาวประมาณ 3 นิ้วฟุต ปอกเปลือกต้มน้ำจนฟักสุก เอาน้ำต้มฟักมาชงนมให้เด็กกิน
    อีกขนานหนึ่ง ให้เด็ดเอายอดอ่อนของต้นพุทราประมาณ 1 กำมือใส่ในถ้วย ให้ใช้ใบอ่อนหรือยอดจึงจะมีฟอง เอายอดอ่อนนี้มาขยี้พอแหลกผสมน้ำสะอาดพอสมควร นำน้ำที่ได้มาชโลมให้ทั่วศรีษะและตามลำตัว ถ้าความร้อนยังไม่ทุเลาให้ทำซ้ำอีก แต่ต้องคอยให้น้ำยาที่ชโลมครั้งแรกแห้งเสียก่อน ทำซ้ำ 2 – 3 ครั้ง อาการตัวร้อนจะค่อยเย็นลงจนหายเป็นปกติดี
  3. ต้มน้ำให้เดือดในหม้อขนาดกลาง เอาหัวหอมเล็ก 1 กำมือ โขลกพอแหลกใส่ลงไป ปิดฝาหม้อต้มให้เดือดต่อไปอีก 5 นาที ยกหม้อลงเอาผ้าคลุมหัวและหม้อเอาไว้ ค่อย ๆ ปิดฝาหม้อ สูดเอาไอน้ำ จนกระทั่งหมดไอ ควรหลับตาขณะสูดไอน้ำเพราะถ้าไอน้ำเข้าตาจะทำให้แสบตา ไอน้ำและไอหัวหอมเล็ก ช่วยให้น้ำมูกหายข้น เป็นเหตุให้จมูกโล่ง ในช่วงที่เด็กนอนหลับ ให้เอาหัวหอมเล็กทุบพอแตก ห่อผ้าบาง ๆ เพียงชั้นเดียววางไว้ตามจุดต่าง ๆ ตรงหัวนอน เพื่อให้ไอระเหยของหัวหอมเข้าจมูก อย่าวางหัวหอมใกล้จมูกเด็กเกินไป จะทำให้แสบจมูกได้
  4. สำหรับสมุนไพรที่ชาวบ้านนิยมใช้รักษาหัดคือ สะตือ หรือประดู่ขาว ใช้ทั้งต้นทั้งราก อย่างละ 1 กำมือ ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มให้เดือดนาน 5 – 10 นาที กินครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และเอาน้ำอาบด้วย เขาบอกว่ายาขนานนี้ป้องกันหัดหลบลงลำใส้ที่ทำให้ท้องเดิน และป้องกันหัดหลบลงปอดทำให้หอบได้
    สมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ ใบมะพร้าวอ่อนหรือแก่ก็ได้ มัดให้ได้ 1 กำ ทุบให้แตก นำมาแช่กับน้ำธรรมดา ใส่น้ำพอท่วมยา ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ให้น้ำออกเป็นสีเหลืองแล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าเด็กอายุ 7 – 8 ขวบกินครั้งละ 1 ถ้วยชา ยาจะกระทุ้งตุ่มออกหมด กินยาไป 3 วันจะเห็นว่าตุ่มยุบจนหายหมด เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีมาก
    อีกขนานหนึ่งคือใช้ผงชะเอมเทศผสมน้ำผึ้ง ป้ายลิ้นให้เด็กกินทีละน้อย แต่ให้กินบ่อย ๆ หรืออาจลองใช้ใบสะเดาที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไปสัก 5 ใบ เมล็ดยี่หร่าครึ่งช้อนชาชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ให้เด็กดื่มตอนอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
  5. ใช้ใบพลู 1 ใบ มาม้วนเหมือนบุหรี่ ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้ช้ำ อุดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหลให้แน่น เวลาอุดยาจะรู้สึกร้อน ๆ ฉุน สักครู่เดียวเลือดก็หยุดไหล ใบพลูช่วยได้เพราะมีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้เส้นเลือดหดตัวช่วยห้ามเลือดได้ และการใช้ใบพลูอุดแผลก็ทำให้เลือดที่ปากแผลแข็งตัวหยุดไหลไปเอง
    สมุนไพรที่ใช้แก้เลือดกำเดาไหลที่ได้ผลดีมีอีกหลายชนิดได้แก่ หัวหอม หญ้าแพรก ดอกทับทิมที่ยังอ่อน ๆ เปลือกเม็ดมะม่วง โดยสมุนไพรเหล่านี้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตำแล้วคั้นเอาน้ำมาหยดใส่รูจมูกสัก 2 – 3 หยด จะช่วยให้เลือดหยุดได้
    สำหรับเด็กที่เลือดกำเดาไหลบ่อย ขอแนะนำให้เอารากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาดใส่น้ำให้ท่วมยาต้มพอให้ยาสุก กินวันละ 3 – 4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรให้เด็กกินฝรั่งสุกด้วยเพื่อเพิ่มวิตามินซี นอกจากนี้ควรให้ลูกรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม สับปะรด เป็นประจำ อาจทำให้ลูกมีเลือดกำเดาออกน้อยลงหรือหายไปได้ 
  6. สมุนไพรรักษาอาหารหอบหืดที่น่าสนใจคือ หนุมานประสานกาย เพราะมีผู้ที่เคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว โดยเล่าให้ฟังว่า ตอนบุตรชายอายุได้ 5 ปี เริ่มเป็นหืด มีเสมหะติดคอบ่อย ๆ บางครั้งหอบจนต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องกินยาขับเสมหะและขยายหลอดลมเป็นประจำ ได้ใช้ใบหนุมานประสานกาย 7 ช่อ ใส่น้ำ 2 ถ้วยต้มให้เหลือ 1 ถ้วย กินครั้งละ ? ถ้วย วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ก่อนอาหาร 15 นาที ประมาณ 2 เดือน อาการหอบหืดของบุตรชายหายไป ไม่ต้องกินยาอะไรอีกเลย ทุกวันนี้เวลาบุตรชายเริ่มมีอาการหวัดก็ต้มยาให้กินอาการหวัดก็หายไป ไม่ต้องพึ่งยาฝรั่งอีกเลย
    มียาตำรับง่าย ๆ แต่ใช้ได้ผลดีอีกตำรับหนึ่งคือ ใช้หัวหอมแดง ตำคั้นเอาน้ำ 2 ช้อนชา ผสมกับเหง้าขิงแก่ สดตำคั้นเอาแต่น้ำ 2 ช้อนชา น้ำมะนาวและน้ำคั้นจากกระเทียม อย่างละ ? – 1 ช้อนชา เติมน้ำผึ้งพอหวาน ดื่มวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า – เย็น
    เด็กเล็กบางคนอาจไม่ชอบกลิ่นกระเทียมก็ไม่ต้องผสมน้ำกระเทียมก็ได้

ผักรสขม เพื่อสุขภาพ

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพอีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกันเลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้ออาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ


4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจนลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย

สมุนไพรเพื่อผู้หญิง

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีสมุนไพรแก้ปวดประจำเดือนมาฝากกันค่ะ ซึ่ง สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้เป็นสมุนไพรใกล้ตัวสาวๆ อย่างที่เราไม่ควรพลาดเลยนะค่ะ อาการปวดท้องประจำเดือนคืออีกหนึ่งปัญหาที่สุดแสนจะทรมานสำหรับสาวๆ จำนวนมากเลยทีเดียวนะค่ะ ถ้าใครที่เคยมีอาการปวดท้องประจำเดือนจะรู้ทันทีเลยว่าอาการเหล่านี้มันทรมานขนาดไหน แล้วทุกๆ เดือนของสาวๆ อย่างเราๆ จะต้องมาทนทรมานกับการปวดท้องคงจะไม่ไหวแน่ๆ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยนำเอา สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน มาแนะนำให้คุณสาวๆ ได้รู้กันค่ะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน เป็นสมุนไพรที่ไม่เป็นอันตรายและแถมยังไม่แพงมากมายและหาซึ่งได้ง่ายๆ เพราะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นั้นมีใกล้ตัวเราอีกด้วยนะค่ะ รับรองว่า สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของคุณสาวๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่าร้อช้ารีบๆ ไปรู้จัก สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่านะค่ะ
3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้

ผลไม้บำรุงเลือด

ผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"ช่วงนี้ใครรู้สึกว่าขาดเลือดอยู่ละก็วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ มาฝากกันอีกด้วย ผลไม้นอกจากจะจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและมีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองแล้ว ในผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตตามินอีกหลายชนิดที่เรายังไม่รู้ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณๆ มารู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด ซึ่ง ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้จะมีคุณประโยชน์อย่างไรกันและมีผลไม้ชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็ไม่พลาดที่จะนำ ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้มาบอกให้คุณๆ ผู้รักสุขภาพและชอบทานผลไม้กันให้รู้อย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ กันเลยดีกว่าค่ะ

สมุนไพรผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"

ช่วงนี้ใครรู้สึกว่าขาดเลือดอยู่ละก็วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ มาฝากกันอีกด้วย ผลไม้นอกจากจะจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและมีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองแล้ว ในผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตตามินอีกหลายชนิดที่เรายังไม่รู้ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณๆ มารู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด ซึ่ง ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้จะมีคุณประโยชน์อย่างไรกันและมีผลไม้ชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็ไม่พลาดที่จะนำ ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้มาบอกให้คุณๆ ผู้รักสุขภาพและชอบทานผลไม้กันให้รู้อย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ กันเลยดีกว่าค่ะ

  กล้วย
ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี
 แตงโม
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวันซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว

สมุนไพรไกล้ตัว

เพลงสมุนไพร

น้ำสมุนไพร

น้ำตำไคร้



ใช้ตะไคร้ 3 - 5 ต้นหั่นเป็นท่อนสั้น ทุบให้แตก ใช้นำลิตรครึ่งต้มพอเดือด กระองเอากากออก แล้วต้มต่ออีกราว 3 นาที หรือใช้เหง้าแก่ฝานเป็นแว่น คั่วไฟอ่อนๆ ชงเป็นชา

 
 ตะไคร้มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม ลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับเหงื่อ ลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย
 
นำ้ดอกคำฝอย
 
 




 ใช้ดอกต้มในน้ำเดือดจัดๆ ปิดฝาทิ้งไว้ 3 - 5 นาที
 
 ช่วยบำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ลดไขมัน ขับเหงื่อ แก้โรคดีพิการ ช่วยให้สตรีมีประจำเดือนเป็นปกติ เป็นยาระบายอ่อนๆ มีสารคาธามีน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น

สมุนไพรเพื่อความงาม

เปลือกกล้วยหอมสุก : ขจัดรอยหยาบกร้าน

วิธีทำ ใช้ด้านในเปลือกกล้วยหอมสุก ถูเบาๆ บริเวณที่มีรอยหยาบกร้าน ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะทำให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้น รอยหยาบกร้านจะค่อยจางหายไป

มะขามเปียก : บำรุงผิวกายให้ขาวใสไร้รอยหมองคล้ำ

วิธีทำ ใช้มะขามเปียกใหม่ๆ คั้นกับน้ำสะอาดต้มสุก กรองเอาแต่น้ำข้นๆ ประมาณ 1 ถ้วย กับนมสด ประมาณ 1/2 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน (หรือจะใส่เครื่องปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน) ลูบไล้ทาทั่วผิวกาย ทิ้งไว้พอแห้ง และอาบน้ำตามปกติ

ยำปลาทูกับสมุนไพรไทย

ส่วนผสม
ปลาทูนึ่ง 3 ตัว, ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ, หัวหอมซอย 3 ช้อนโต๊ะ, พริกขี้หนูสวนซอย 1 ช้อนชา, ใบมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ, ต้นหอมซอย 1 ต้น, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนชา, น้ำมันสำหรับทอด 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
  1. ใส่น้ำมันลงในกระทะตั้งไฟกลาง พอน้ำมันร้อน ทอดปลาทูให้เหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
  2. แกะปลาทูเอาแต่เนื้อยีเบาๆ พอเนื้อปลายุ่ย ผสมน้ำมะนาว กับน้ำปลาเข้าด้วยกัน ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในอ่างผสม ใส่ปลาทูใส่น้ำมะนาวเคล้าเบาๆ พอทั่ว
  3. ตักใส่จานเสิร์ฟกับข้าวร้อนๆ หรือจะทำเป็นไส้แซนด์วิช เป็นอาหารพกพาหรือจะใช้เป็นอาหารว่าง กินแบบเมี่ยง โดยใช้ใบชะพูลหรือผักกาดหอมห่อเป็นคำ ๆ

สมุนไพรกับอาหารไทย

สมุนไพรที่ใช้ในอาหารไทยและใช้กันมากในเครื่องแกง เช่น พริกแห้ง พริกสด พริกไทย หัวหอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ เครื่องแกงบางอย่างจะใส่กระชาย ขมิ้น ขิง รากผักชีและเครื่องแกงบางอย่าง จะใส่ทั้งสมุนไพรและเครื่องเทศ คือ ลูกผักชี ยี่หร่า กานพูล อบเชย ลูกจันทน์ หรือดอกจันทน์ การใช้สมุนไพรและเครื่องเทศ ในรูปของน้ำพริกแกง จะมองไม่เห็นจะได้แต่กลิ่นในการใช้ ต้องใช้อย่างมีสัดส่วนถ้ามากเกินไปจะทำให้กลิ่นรสเป็นยา ถ้าใช้น้อยไปอาหารนั้นจะอ่อนเครื่องแกงไม่หอม
นอกจากนี้สมุนไพรที่ใส่ในอาหารโดยตรง เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย หอม กระเทียม ใบสะระแหน่ พริกแห้ง พริกสด กระชาย ขมิ้นขาว ใบโหระพา พริกไทยสด สมุนไพรแต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในเรื่อง กลิ่น รส ความสำคัญของสมุนไพร
ที่ใส่อาหารในรูปนี้ เพื่อช่วยลดความความของอาหาร เช่น ลดความคาวของปลา เนื้อ เป็นต้น อีกประการหนึ่งช่วยเพิ่ม ความหอมของอาหารจานนั้นๆ ความหอมของอาหารช่วยกระตุ้น ความอยากอาหารเมื่อได้กลิ่น เพิ่มความอร่อยของอาหารจานนั้นๆ ทำให้มีรสชาติต่างๆ กันในจาน เมื่อรวมอยู่ในจานเดียวกัน ซึ่งเป็นรสชาติที่ยากจะบอกตรงนี้ คือ เสน่ห์ของอาหารไทย การที่จะกินสมุนไพรให้อร่อยต้องกินในรูปอาหารและจะทำให้ อาหารจานนั้นอร่อยขึ้นกับเหตุผลหลายอย่างที่สำคัญที่สุดคือ ปริมาณที่ใส่ เช่น จะใส่ตะไคร้ซอย ปริมาณเท่าใดในพล่า หรือจะใส่ตะไคร้กี่ต้นในต้มยำกุ้ง และจะใส่เมื่อไรจึงจะทำให้อร่อย มีกลิ่นเป็นอาหารไม่เป็นกลิ่นยา เช่น ใส่ตะไคร้ในต้มยำเมื่อน้ำแกงเดือด
สมุนไพรในอาหารไทยไม่เพียงแต่เพิ่มคุณค่าของความอร่อย มีทั้งคุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา การที่จะกินให้อร่อย ต้องกินสมุนไพรที่ใส่ในอาหารนั้นด้วย จะเพิ่มรสชาติและแก้ความด้อย ของอาหารจานนั้น เช่น ต้มยำกุ้งกินแต่กุ้งหรือต้มยำปลากินแต่ปลา จะได้กลิ่นกุ้งกลิ่นปลาและรสชาติของกุ้งของปลา เมื่อกินตะไคร้ใบมะกรูด ในต้มยำจะทำให้กลิ่นและรสของกุ้งของปลาดีขึ้น หรือกิน แกงเขียวหวานไก่จะให้ความรู้สึกว่าเลี่ยน หวานมัน เมื่อกินใบโหระพาตาม จะลดความเข้มข้นของความหวานมันและถ้ายิ่งได้กินมะเขือพวง ในน้ำแกงเขียวหวานก็จะทำให้เลี่ยนและหวาน เพราะรสมะเขือพวง จะมีความขมเล็กน้อย

วิธีกำจัดกลิ่นปากด้วยสมุนไพรไทย

สำหรับคนที่มีกลิ่นปาก ปากเหม็น(ถ้ารู้ตัว) ก็ต้องพยายามหาทางแก้ไขความบกพร่องนี้กันทุกคน วันนี้ผมเลยเอาวิธีแก้ไขด้วยสมุนไพรมาฝากครับ ประหยัดและได้ผลจริง แต่ก่อนอื่นท่านต้่องสำรวจสุขภาพช่องปากของท่านก่อนครับ เช่น มีฟันผุหรือไม่ มีคราบหินปูนหรือไม่ มีช่องว่างระหว่างซอกฟันจนเศษอาหารมักไปติดอยู่หรือไม่ เป็นต้น เพราะถ้าคุณไม่จัดการสุขภาพช่องปากให้ดีก่อนแล้ว ไม่ว่ายาหรือสมุนไพรไทยระดับเทพแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ครับ
โดยวันนี้เอาวิธีมาให้เลือกสองวิธีดังนี้ครับ
  • ให้เด็ดใบฝรั่งสด ล้างน้ำสะอาด แล้วเคี้ยวให้ละเอียด แล้วคายกากทิ้ง
  • ก่อนนอนให้กินกล้วยน้ำว้าสุกสัก 1-2 ลูกแล้วค่อยแปรงฟัน และตื่นตอนเช้าก็ให้กินอีก 1-2 ผล แล้วค่อยแปรงฟัน ทำอย่างนี้ประมาณ 15 วันเป็นอย่างน้อย

เหตุใดจึงควรใช้สมุนไพรไทย

เหตุใดจึงควรใช้สมุนไพรไทย
1. ราคาถูกและหาง่าย เพราะสามารถเพาะปลูกได้แทบทุกพื้นที่ในประเทศไทย
2. มีความปลอดภัย เพราะสมุนไพรไทยส่วนมากจะมีฤทธิ์อ่อน มีอาการข้างเคียงน้อย และไม่ค่อยมีสารพิษตกค้างเหมือนยาแผนปัจจุบัน
3. สะดวกเพราะสามารถปลูกไว้ใช้เองในครัวเรือนได้ เพียงแต่จำเป็นต้องศึกษาวิธีใช้งานอย่างถี่ถ้วนด้วย
4. อนุรักษ์ภูมิปัญญาที่สืบสานมาตั้งแต่สมัยโบราณ ให้ยังคงอยู่สืบไป
5. สามารถนำสมุนไพรบางชนิดมาเป็นส่วนผสมของอาหาร ทำให้ไม่รู้สึกเหมือนทานยา
6. ช่วยสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรที่อนุรักษ์สมุนไพรไทย

วิธีการใช้สมุนไพรไทยอย่างถูกวิธี

วิธีการใช้สมุนไพรไทยอย่างถูกวิธี

  • เนื่องจากสมุนไพรไทยนั้นมีหลายชนิด หลายพันธุ์ และบางอย่างอาจจะมีชื่อคล้ายกัน หรือใช้คำพ้องกันบ้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนนำมาใช้ประโยชน์
  • ศึกษาให้ดีว่าสมุนไพรไทยชนิดใด ควรรักษาอาการของโรคใดๆ และสมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณเหมือนกัน ควรเลือกชนิดที่หาได้ง่ายกว่ามาใช้ประโยชน์
  • ถึงแม้จะเป็นสมุนไพรไทยชนิดเดียวกัน ก็ต้องศึกษาว่าส่วนไหนนำมาใช้ประโยชน์ได้เหมาะสมที่สุด เพราะส่วนราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด ของสมุนไพรจะมีฤทธิ์ไม่เท่ากัน
  • ศึกษาให้ดีว่าสมุนไพรไทยชนิดใด ควรจะใช้ประโยชน์อย่างไร เพราะถ้าหากใช้ประโยชน์ต่างกันอาจจะเห็นผลต่างกัน เช่น ใช้ดองยา ใช้กินสด เป็นต้น
  • ศึกษาปริมาณการใช้สมุนไพรไทยอย่างละเอียด เำพราะถ้าใช้จำนวนน้อยไปอาจจะไม่เห็นผล และถ้าหากใช้จำนวนมากไปอาจจะเกิดอันตรายได้

ทับทิม

ทับทิม

ชื่ออื่น ๆ : มะเก๊าะ (ภาคเหนือ), มะก่องแก้ว พิลาขาว (น่าน), หมากจัง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), พิลา (หนองคาย), เจียะลิ้ว (จีน)
ชื่อสามัญ : Punic Apple, Pomegranate, Granades, Granats, Carthaginian Apple
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Punica granatum Linn.
วงศ์ : PUNICACEAE
ส่วนที่ใช้ : เปลือกลำต้น ใบ ดอก เปลือกผล เมล็ด และเปลือกราก
สรรพคุณ :
เปลือกลำต้น ในเปลือกของลำต้นจะมีอัลกาลอยด์ประมาณ 0.35-0.6% และอัลกา
ลอยด์ในเปลือกของลำต้นนี้มีชื่อเรียกว่า Pelletierine และ Isopelletierine ซึ่งใช้เป็นยา ถ่ายพยาธิได้ผลดี
ใบ ใช้ใบสดนำมาต้ม กรองเอาน้ำใช้ล้างแผลเนื่องจากมีหนองเรื้อรังบนหัว หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดแล้วเอาไปพอกในบริเวณที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากหกล้มได้ เป็นต้น
ดอก ใช้ดอกที่แห้งประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกรองเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ให้เลือดกำเดา แข็งตัว และแก้หูชั้นในอักเสบ หรือใช้ดอกแห้งนำมาบดให้ละเอียดแล้วใช้ทา หรือโรยบริเวณบาดแผลที่มีเลือดออก เปลือกผล ใช้เปลือกผลที่แห้งแล้วประมาณ 2.5-4.5 กรัม นำมาบดให้ละเอียด หรือนำ มาต้มกินน้ำ ใช้เป็นยาแก้โรคท้องเสีย โรคบิดเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด ถ่ายพยาธิ ตกขาว ดากออก แผลหิด และกลากเกลื้อนเป็นต้น
เมล็ด ใช้เมล็ดที่แห้งแล้วประมาณ 6-9 กรัม นำมาบดให้ละเอียด หรือทำเป็นยาก้อน กิน เป็นยาแก้โรคปวด จุกแน่น เนื่องจากโรคกระเพาะอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร และแก้ท้องร่วง เป็นต้น
เปลือกราก ใช้เปลือกรากที่แห้งแล้ว ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มน้ำกิน เป็นยาแก้ระดู ขาว ตกเลือด ถ่ายพยาธิ หล่อลื่นลำไส้ แก้ท้องเสีย และโรคบิดเรื้อรัง เป็นต้น
อื่น ๆ : ในประเทศอินเดียทางด้านแถบตะวันตกเฉียงใต้ ได้มีการใช้เปลือกผลทับทิม นำมา ย้อมผ้า ซึ่งใช้ผสมกับครามหรือขมิ้น จะได้สีผ้าที่ย้อมนั้นเป็นสีน้ำตาลอมแดง แต่ถ้าใช้เปลือกผลอย่างเดียวก็จะได้เป็นสีเขียว ผ้าที่ย้อมชนิดนี้เรียกว่า RAKREZI
ข้อห้ามใช้ : 1. เป็นบิด ท้องเสีย หรือท้องผูก ไม่สมควรใช้เปลือกราก เป็นยาแก้
2. การใช้เปลือกรากเป็นยาแก้ ควรจะใช้อย่างระมัดระวังให้มาก เพราะเปลือกรากมี พิษ
ถิ่นที่อยู่ : ทับทิม เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเซีย